เทรนนิ่งที่ไม่สร้างการเติบโต มักเริ่มจากความเร่งรีบ
ในหลายองค์กร การเทรนนิ่งมักเกิดจาก “ความต้องการเร่งด่วน” เช่น เมื่อเกิดปัญหาการทำงานบางอย่าง หรือเมื่อผู้บริหารรู้สึกว่าทีมควรเรียนเรื่องนี้ สุดท้ายสิ่งที่ตามมาคือคอร์สที่จัดอย่างรวดเร็ว มีเนื้อหามาก แต่ไม่ตอบโจทย์ลึกพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง เทรนนิ่งที่จัดเพราะ “ต้องจัด” จึงมักจบลงด้วยการเรียนรู้ที่ชั่วคราว เพราะไม่ได้สร้างพื้นที่ให้คนได้ย่อยความคิดหรือเชื่อมโยงกับงานจริง
การเติบโตต้องการพื้นที่ ไม่ใช่แค่เวลา
พนักงานไม่อาจพัฒนาได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการอบรม แต่ต้องมีพื้นที่ให้ได้ลอง ปรับ และสะท้อนสิ่งที่เรียน การสร้างพื้นที่แห่งการเติบโต หมายถึงการออกแบบระบบที่ให้พนักงานได้ “ทดลองสิ่งที่เรียน” โดยไม่กลัวว่าจะผิด องค์กรที่เข้าใจสิ่งนี้จะไม่หยุดที่การจัดเทรนนิ่ง แต่จะสร้างโครงสร้างสนับสนุน เช่น การให้หัวหน้าช่วยโค้ช หรือการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนหลังการอบรม
“คนจะเติบโตได้จริง ก็ต่อเมื่อมีพื้นที่ให้เขาเรียนรู้จากการลอง ไม่ใช่แค่จากการฟัง”
เทรนนิ่งที่ดีคือการสอนให้คน “เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง”
การพัฒนาพนักงานไม่ควรจบลงที่การอบรมหนึ่งครั้ง แต่ควรเป็นการปลูก mindset ให้พนักงาน “อยากเรียนรู้ต่อเอง” เพราะในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว ความสามารถที่แท้จริงของคนทำงานไม่ใช่ทักษะที่มี แต่คือ “ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เสมอ” เมื่อเทรนนิ่งถูกออกแบบให้คนเข้าใจหลักคิดเบื้องหลัง มากกว่าการจำเทคนิค พนักงานจะเริ่มเรียนรู้ต่อได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก
พื้นที่แห่งการเติบโต เริ่มจากหัวหน้าที่เข้าใจ
หัวหน้ามีบทบาทสำคัญในการทำให้เทรนนิ่งไม่จบในห้องเรียน หัวหน้าที่ดีจะรู้ว่า พนักงานแต่ละคนมีจังหวะการพัฒนาไม่เท่ากัน บางคนต้องการเวลา บางคนต้องการคำชี้แนะ บางคนแค่ต้องการให้เชื่อใจ
การเปิดพื้นที่ให้คนได้เรียนรู้ตามจังหวะของตัวเอง คือสิ่งที่ทำให้การเติบโตเกิดขึ้นจริง หัวหน้าที่กล้าฟังมากกว่าสั่ง และกล้าให้ทีมลองผิดโดยไม่ตำหนิ คือหัวหน้าที่กำลังสร้าง “วัฒนธรรมการเรียนรู้” ในทีมโดยไม่รู้ตัว
การสร้างพื้นที่เรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องใช้งบมาก
หลายองค์กรเข้าใจผิดว่าการสร้างพื้นที่เรียนรู้ต้องลงทุนสูง แต่ความจริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ทัศนคติของผู้นำ” เพราะวัฒนธรรมการเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีหรือคอร์สแพง ๆ แต่มาจากการที่ผู้นำส่งสัญญาณว่า “องค์กรนี้ให้คุณค่ากับการเรียนรู้” เช่น การให้โอกาสทีมไปอบรมแล้วกลับมาแชร์, การพูดถึงบทเรียนที่ได้จากการทำงาน, หรือแม้แต่การยอมรับข้อผิดพลาดอย่างสร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้งบ แต่สร้างผลลัพธ์ได้ยั่งยืนกว่าการเทรนนิ่งใด ๆ
เทรนนิ่งพนักงานที่ดี คือการสร้าง “ระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้”
องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคน จะไม่มองเทรนนิ่งเป็นกิจกรรม แต่จะมองว่าเป็น “ระบบนิเวศ” ที่ทุกส่วนเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการจริง การออกแบบหลักสูตร การสอน การติดตามผล ไปจนถึงการสนับสนุนให้หัวหน้าและทีมใช้สิ่งที่เรียนในชีวิตการทำงานจริง เมื่อระบบทั้งหมดหมุนด้วยกัน การเรียนรู้จะไม่เป็นเพียงการอบรม แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพนักงาน
“องค์กรที่มีระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ จะเติบโตได้ แม้โลกจะเปลี่ยนเร็วแค่ไหน”
สุดท้าย การเทรนนิ่งไม่ใช่เรื่องของห้องเรียน แต่คือเรื่องของวัฒนธรรม
เมื่อองค์กรเริ่มมองว่าการเทรนนิ่งไม่ใช่เพียงการจัดคลาส แต่คือการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน คนจะเริ่มพูดถึงสิ่งที่เรียนในที่ประชุม จะเริ่มถามกันว่า “สิ่งนี้เราทำได้ดีขึ้นไหม” และจะเริ่มสนับสนุนกันในการเติบโต นั่นคือจุดที่องค์กรไม่ต้องผลักให้คนเรียนรู้ เพราะทุกคนอยากเติบโตด้วยตัวเอง
หากองค์กรของคุณต้องการเทรนนิ่งพนักงานที่สร้างพื้นที่แห่งการเติบโต ไม่ใช่แค่จัดอบรม The Blacksmith พร้อมช่วยออกแบบระบบการเรียนรู้ที่ต่อยอดได้จริง เพื่อสร้างทีมที่เติบโตไปพร้อมกับองค์กร คลิกลงทะเบียน


