เมื่อการเทรนนิ่งกลายเป็นกิจกรรม ไม่ใช่การพัฒนา
หลายองค์กรลงทุนกับการจัดเทรนนิ่งมากมาย ทั้งงบประมาณ เวลา และทรัพยากร แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้กลับมาคือ “กิจกรรมดี ๆ ที่คนจำได้ไม่กี่วัน” มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องในที่ทำงาน ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเนื้อหาที่ไม่ดี แต่เกิดจากการที่ “การเรียนรู้ไม่ได้เชื่อมโยงกับเป้าหมายขององค์กร”
“Corporate training จะไม่มีคุณค่า ถ้าความรู้ในห้องอบรมไม่กลายเป็นผลลัพธ์ในชีวิตจริงของทีมงาน”
ความเข้าใจผิดของการเทรนนิ่งที่เน้นแค่เนื้อหา
องค์กรจำนวนมากเลือกหลักสูตรเทรนนิ่งจากชื่อวิชา เช่น “การสื่อสารในทีม”, “การคิดเชิงกลยุทธ์”, หรือ “ภาวะผู้นำ” โดยหวังว่าพนักงานจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ แต่ไม่ได้ถามตัวเองว่าหลักสูตรนั้นจะช่วยให้องค์กรขยับเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างไร
ผลที่เกิดขึ้นคือ การเรียนรู้เกิดในห้องอบรม แต่ไม่ขยับในหน้างาน ผู้นำที่มองเห็นคุณค่าของ Corporate training จริง ๆ จะไม่ถามแค่ว่า “เราควรเรียนเรื่องอะไร” แต่จะถามว่า “เรากำลังจะไปที่ไหน และต้องการให้คนของเราเปลี่ยนอย่างไรเพื่อไปถึงจุดนั้น”
Corporate training ที่มีพลัง เริ่มจากคำถามปลายเปิด
แทนที่จะเริ่มจากหัวข้อ ควรเริ่มจากคำถาม เช่น “องค์กรของเรากำลังเผชิญปัญหาแบบไหน” “เราต้องการเห็นพฤติกรรมใหม่แบบใดเกิดขึ้นในทีม”
คำถามเหล่านี้จะช่วยให้การออกแบบ training กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่กิจกรรมพัฒนา
“Corporate training ที่ดีไม่ใช่เรื่องของการเพิ่มความรู้ แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมของคนในทิศทางเดียวกับองค์กร”
เชื่อมความรู้กับผลลัพธ์อย่างไร
องค์กรที่ทำให้การเรียนรู้เชื่อมกับเป้าหมายได้จริง มักมีจุดร่วมคือ “การออกแบบก่อนสอน” พวกเขาไม่เริ่มจากเนื้อหา แต่เริ่มจากภาพเป้าหมาย แล้วค่อยย้อนกลับมาดูว่าต้องสร้างทักษะอะไรให้คนของเรามี
ตัวอย่างแนวคิดในการเชื่อม
องค์กรที่ตั้งเป้าพัฒนา “ทีมขายเชิงกลยุทธ์” จะไม่จัดแค่คอร์สเทคนิคการขาย แต่จะออกแบบให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ลูกค้าของตัวเอง และนำ insight กลับไปปรับการทำงานจริง
องค์กรที่อยากสร้าง “วัฒนธรรมความร่วมมือ” จะไม่จัดอบรม team building แล้วจบ แต่จะฝังแนวทางการ feedback และการประชุมเชิงร่วมมือหลังจบคลาส สิ่งเหล่านี้ทำให้ “ความรู้” ไม่จบในห้อง แต่กลายเป็น “เครื่องมือทำงาน” ที่ใช้ได้จริง
บทบาทของหัวหน้าในการต่อยอดผลลัพธ์
Corporate training จะไม่มีวันได้ผล ถ้าหัวหน้าไม่ต่อยอด เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วโมงอบรม แต่เกิดขึ้นตอนกลับไปทำงาน หัวหน้าที่ดีจะถามลูกทีมหลังจบคลาสว่า “จากที่เรียนมา เราอยากลองอะไรใหม่ในทีมบ้าง” เพื่อเชื่อมการเรียนรู้เข้ากับการลงมือทำจริง
“การเทรนนิ่งจะมีค่า เมื่อหัวหน้าไม่มองว่าเป็นหน้าที่ของ HR แต่เห็นว่าเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทีมของตัวเอง”
จากกิจกรรมสู่ระบบการพัฒนา
Corporate training ที่ยั่งยืนที่สุดคือ training ที่ต่อเนื่องกลายเป็นระบบพัฒนา ไม่ใช่เหตุการณ์รายปี
องค์กรที่มองระยะยาวจะสร้างโครงสร้างที่ทำให้การเรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เช่น การติดตามผลหลังการอบรม การให้ feedback ระหว่างหัวหน้ากับลูกทีม หรือการจัด sharing session เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริง
เมื่อการเรียนรู้ขับเคลื่อนธุรกิจได้จริง
องค์กรที่ใช้การเทรนนิ่งอย่างมีกลยุทธ์ จะเห็นผลในเชิงธุรกิจชัดเจน ทั้งอัตราการลาออกที่ลดลง ประสิทธิภาพของทีมที่เพิ่มขึ้น และความผูกพันของพนักงานที่มากขึ้น เพราะพวกเขาไม่รู้สึกว่า “ต้องมาอบรม” แต่รู้สึกว่า “องค์กรกำลังลงทุนกับการเติบโตของฉัน”
“Corporate training ที่ดีไม่ใช่เครื่องมือของ HR แต่คือเครื่องมือขององค์กรที่อยากเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน”
หากองค์กรของคุณต้องการ Corporate training ที่เชื่อมโยงการเรียนรู้กับกลยุทธ์และผลลัพธ์ทางธุรกิจจริง The Blacksmith พร้อมเป็น Strategic Learning Partner ที่ร่วมออกแบบเส้นทางการพัฒนาให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรคุณ คลิกลงทะเบียน


