เมื่อการเทรนนิ่งกลายเป็นเพียงเช็กลิสต์
หลายองค์กรจัดการอบรมพนักงานเป็นประจำทุกปี บางแห่งถึงกับวางปฏิทินล่วงหน้าตลอดทั้งปีเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานจะได้เรียนรู้ครบชั่วโมงตามเกณฑ์ที่กำหนด ภาพที่เห็นจนชินตาคือห้องประชุมใหญ่ที่เต็มไปด้วยพนักงานหลายสิบคน วิทยากรยืนอยู่ด้านหน้า พูดต่อเนื่องตลอดทั้งวัน เนื้อหาเต็มไปด้วยทฤษฎีและสไลด์ที่ดูน่าสนใจ แต่บรรยากาศกลับเงียบ พนักงานบางคนตั้งใจฟัง แต่บางคนแอบตอบอีเมลหรือมองนาฬิการอเวลาเลิก
เมื่อจบวัน สิ่งที่พนักงานได้กลับมาคือแฟ้มเอกสาร ใบประกาศนียบัตร และรูปถ่ายหมู่ที่ถูกแชร์ในอินทราเน็ตของบริษัท แต่เมื่อกลับไปที่โต๊ะทำงาน พฤติกรรมและวิธีทำงานก็ยังคงเหมือนเดิม ปัญหาที่เจอก่อนเข้าคลาสก็ยังเป็นปัญหาเดิมอยู่
นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า Corporate training ที่จัดขึ้นจำนวนมากในปัจจุบันยังเป็นเพียง “เช็กลิสต์” ที่ทำเพื่อให้ครบตาม KPI ไม่ใช่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงจริง
“Training ที่ดีไม่ได้ทำให้เรามีโน้ตบุ๊กเต็มไปด้วยสไลด์ แต่ทำให้เรากล้าลงมือทำสิ่งใหม่ในวันถัดมา”
ทำไมการเรียนรู้ไม่เคยออกจากห้องประชุม
หลายคนที่เคยผ่านการอบรมจะมีประสบการณ์คล้ายกันคือ ฟังเนื้อหาแล้วรู้สึกว่า “น่าสนใจดี” แต่พอกลับมาที่งานจริงกลับไม่รู้ว่าจะใช้ตรงไหน ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการออกแบบการอบรมที่เน้นการบรรยายมากกว่าการลงมือทำ
บ่อยครั้งทีมงานได้รับเนื้อหาที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับสิ่งที่เผชิญอยู่จริง เช่น ทีมขายต้องเจอลูกค้าที่กดดันด้วยคำถามเรื่องราคา แต่สิ่งที่เรียนคือทฤษฎีการเจรจาเชิงกลยุทธ์ที่ไกลตัว หรือทีมบริการลูกค้าที่เผชิญกับอารมณ์โกรธของผู้ใช้ แต่สิ่งที่อบรมคือการเขียนอีเมลอย่างมืออาชีพ ความไม่ตรงกันนี้ทำให้พนักงานรู้สึกว่า “อบรมไปก็ไม่ช่วยอะไรในชีวิตจริง”
การออกแบบ Corporate training ให้เกิดผลลัพธ์จริง
หากมองว่า Corporate training คือเครื่องมือในการเปลี่ยนพฤติกรรม การออกแบบย่อมต้องเริ่มจากการตั้งโจทย์ให้ถูก ไม่ใช่ถามว่า “ปีนี้เราจะอบรมกี่ชั่วโมง” แต่ต้องถามว่า “เราต้องการให้ทีมเปลี่ยนไปอย่างไรหลังการอบรม”
องค์กรที่มุ่งเน้นผลลัพธ์จริง มักเลือกใช้ workshop ที่เชื่อมโยงกับบริบทงาน เช่น การฝึก feedback กันตรง ๆ ในสถานการณ์จำลองใกล้เคียงการประชุมจริง ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าทำได้ทันทีและเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันแรก
ตัวชี้วัดที่ควรมองใหม่
เมื่อมองการอบรมเป็นเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลง วิธีวัดผลก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย แทนที่จะถามว่า “ปีนี้เราอบรมครบกี่ชั่วโมง” องค์กรควรถามว่า “พนักงานเริ่มทำอะไรต่างออกไปหรือยัง” เช่น กล้าพูดในที่ประชุมมากขึ้นหรือไม่ หัวหน้าเริ่มฟังทีมมากขึ้นหรือเปล่า ความร่วมมือระหว่างแผนกดีขึ้นจริงหรือไม่
“การอบรมไม่ควรจบลงที่ใบประกาศ แต่ควรเริ่มต้นที่การเปลี่ยนวิธีคิดและการทำงาน”
ปรากฏการณ์ที่เห็นได้บ่อยหลังอบรม
สิ่งที่เจอจริงในหลายองค์กรคือ พนักงานออกจากห้องอบรมด้วยความตั้งใจ แต่พอเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็กลับไปทำงานแบบเดิม เพราะระบบและวัฒนธรรมไม่ได้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง หากไม่มีการติดตามหรือเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับงานจริง สิ่งที่ได้จาก training จะค่อย ๆ จางหายไป
ในทางตรงกันข้าม องค์กรที่ผูกการอบรมเข้ากับงานประจำ เช่น ให้ผู้จัดการลองนำเครื่องมือที่เรียนไปใช้จริงในการประชุมทีม และกลับมาเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟัง สิ่งเหล่านี้ทำให้การเรียนรู้ไม่จบแค่ในห้อง แต่ขยายต่อไปสู่การทำงานจริง
สุดท้าย Corporate training คือการลงทุนในพฤติกรรมใหม่
Corporate training ที่มีคุณค่าไม่ใช่การจัดคลาสเยอะ ๆ แต่คือการทำให้พนักงาน “ทำสิ่งใหม่ได้จริง” ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารที่ดีขึ้น การทำงานร่วมกันที่ราบรื่นขึ้น หรือการตัดสินใจที่มั่นใจขึ้น
“Training ที่แท้จริง ไม่ได้ทำให้คนมีความรู้เพิ่มขึ้น แต่ทำให้พวกเขากล้าเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลต่อทีม”
หากองค์กรของคุณต้องการออกแบบ Corporate training ที่สร้างผลลัพธ์จริง ติดต่อ The Blacksmith เพื่อดูโปรแกรมที่ปรับตามความต้องการของทีมคุณ คลิกลงทะเบียน