The Blacksmith_PRTR_In-house training

In-house training ที่ดี ต้องเริ่มจาก “ข้อมูลจริง” ไม่ใช่ “ความรู้สึก”

ปัญหาของการเทรนนิ่งที่เริ่มจากการคาดเดา

หลายองค์กรตัดสินใจจัดเทรนนิ่งเพราะ “รู้สึกว่า” พนักงานควรได้เรียนเรื่องนี้ เช่น “ช่วงนี้ทีมขาดแรงบันดาลใจ”, “คนทำงานร่วมกันไม่ดี”, หรือ “หัวหน้าใหม่ยังไม่เข้าใจบทบาท”

การตัดสินใจเหล่านี้ไม่ได้ผิด แต่เมื่อทุกอย่างตั้งอยู่บน “ความรู้สึก” แทนที่จะเป็น “ข้อมูลจริง” ผลลัพธ์ของเทรนนิ่งก็มักคลาดเคลื่อนจากเป้าหมาย

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ องค์กรจ่ายงบจำนวนมากกับโปรแกรมที่อาจไม่ได้แก้ปัญหาหลักของทีมจริง ๆ เพราะไม่ได้เริ่มจากการวิเคราะห์ “ช่องว่างของพฤติกรรม” หรือ “ทักษะที่ขาดหาย” อย่างชัดเจน

“เทรนนิ่งที่เริ่มจากความรู้สึก มักจบลงด้วยความรู้สึกเหมือนเดิม”

In-house training ที่มีพลัง เริ่มจากการเข้าใจปัญหาจริง

หัวใจของการออกแบบ In-house training ไม่ใช่การเลือกหัวข้อ แต่คือการเข้าใจ “สิ่งที่องค์กรอยากเห็นเปลี่ยนไป” การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพฤติกรรม เช่น feedback จากลูกค้า, ผลการประเมินพนักงาน, หรือข้อมูลการลาออก สามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่าปัญหาหลักอยู่ตรงไหน

องค์กรที่เก่งในการใช้ข้อมูล จะไม่จัดเทรนนิ่งแบบเดิมทุกปี แต่จะปรับโปรแกรมให้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในรอบนั้น เช่น ปีที่แล้วอาจเน้นการสื่อสาร แต่ปีนี้อาจต้องปรับมาที่ความเข้าใจในการบริหารเวลา หรือการทำงานเชิงกลยุทธ์

“การออกแบบเทรนนิ่งที่ดี ต้องใช้ข้อมูลช่วยมองเห็นสิ่งที่คนในองค์กรอาจมองข้าม”

ข้อมูลที่ดี ไม่ได้มาจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว

หลายคนคิดว่าการใช้ข้อมูลหมายถึงต้องมีรายงานซับซ้อนหรือกราฟจำนวนมาก แต่ในความจริง ข้อมูลที่มีค่าที่สุดบางครั้งอาจมาจาก “การฟัง” การสัมภาษณ์พนักงาน, การพูดคุยกับหัวหน้า, หรือการสังเกตบรรยากาศการทำงาน สามารถให้ insight ที่ลึกกว่าตัวเลขบนรายงาน

ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้การออกแบบ In-house training เป็น “ของจริง” ที่ตอบโจทย์ชีวิตการทำงานของพนักงาน ไม่ใช่แค่ตอบโจทย์ฝ่ายบริหาร

จากข้อมูลสู่การออกแบบที่แม่นยำ

เมื่อเข้าใจข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการออกแบบ training ให้ตอบโจทย์ที่ค้นพบจริง เช่น

หากพบว่าทีมมีปัญหาการสื่อสาร องค์กรไม่ควรสอนเทคนิคการพูดทันที แต่ควรเริ่มจากการเข้าใจ “สิ่งที่ทำให้ทีมไม่กล้าพูด” หรือ “สิ่งที่ทำให้การฟังไม่เกิดขึ้น” เพราะหลายครั้งสิ่งที่ทีมต้องการไม่ใช่ “เทคนิค” แต่คือ “พื้นที่ปลอดภัยในการพูด” การใช้ข้อมูลช่วยให้เห็นสิ่งที่อยู่ใต้พฤติกรรม และเมื่อ training ตอบสิ่งนั้นได้จริง การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

“ข้อมูลที่ดีจะพาเราไปเจอสิ่งที่ควรสอน ไม่ใช่สิ่งที่อยากสอน”

ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนข้อมูล

In-house training จะไม่มีวันแม่นยำได้ ถ้าผู้นำไม่ได้สะท้อนมุมมองจากหน้างาน เพราะหัวหน้าคือคนที่อยู่ใกล้ทีมมากที่สุด เห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของคน เมื่อหัวหน้าแชร์ข้อมูลเชิงลึกกับทีม HR หรือผู้จัด training อย่างตรงไปตรงมา ข้อมูลนั้นจะกลายเป็น “แผนที่จริง” ในการออกแบบโปรแกรม

องค์กรที่สร้างระบบ feedback ระหว่างหัวหน้าและทีมพัฒนา จะได้โปรแกรมที่ไม่เพียงแม่นยำ แต่ยังมีความร่วมมือสูง เพราะทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

การวัดผลคือส่วนต่อของข้อมูล ไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้าย

องค์กรจำนวนมากวัดผลเทรนนิ่งด้วยแบบสอบถามหลังจบคลาส ซึ่งเป็นเพียง “ความรู้สึกทันที” ของผู้เรียน แต่สิ่งที่สะท้อนคุณค่าจริง ๆ ของการเทรนนิ่ง คือ “สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังผ่านเวลาไปแล้ว”

การติดตามผลหลังอบรม เช่น การสัมภาษณ์หัวหน้า, การวัดพฤติกรรมในงาน หรือการดูผลลัพธ์ของทีมในช่วงถัดไป จะช่วยให้เห็นว่าความรู้ได้กลายเป็นพฤติกรรมจริงหรือไม่

“ข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่ใช้ก่อนเทรนนิ่งเท่านั้น แต่ต้องอยู่กับเราตลอดกระบวนการเรียนรู้”

สุดท้าย In-house training ที่แม่นยำ คือการฟังองค์กรของตัวเองให้มากพอ

การฟังข้อมูลไม่ใช่แค่การเก็บสถิติ แต่คือการตั้งใจฟังสิ่งที่คนในองค์กรกำลังพูดอยู่

เพราะบางครั้งคำตอบของสิ่งที่ควรพัฒนา อาจซ่อนอยู่ในประโยคง่าย ๆ เช่น “เราคุยกันน้อยลง” หรือ “ฉันไม่แน่ใจว่าผู้นำเข้าใจเราไหม” เมื่อองค์กรเริ่มฟังอย่างลึกซึ้ง การออกแบบเทรนนิ่งจะไม่ใช่แค่โปรแกรม แต่จะกลายเป็นกระบวนการสร้างความเข้าใจร่วมกันทั้งองค์กร

“การใช้ข้อมูลไม่ใช่แค่เพื่อวัดผล แต่เพื่อฟังให้เข้าใจสิ่งที่องค์กรต้องการจะบอกเรา”

หากองค์กรของคุณต้องการ In-house training ที่ออกแบบจากข้อมูลจริง ไม่ใช่จากการคาดเดา The Blacksmith พร้อมร่วมออกแบบโปรแกรมที่ตอบโจทย์ทีมของคุณอย่างแท้จริง คลิกลงทะเบียน

Scroll to Top