ปัญหาที่องค์กรเจอซ้ำซากจากการเทรนนิ่ง
หลายองค์กรลงทุนกับการเทรนนิ่งพนักงานอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่าผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิม พนักงานจำได้ว่าเรียนอะไร แต่ไม่สามารถนำสิ่งนั้นมาใช้ได้จริง เพราะสิ่งที่องค์กรเน้นคือ “ให้ความรู้” มากกว่าการ “สร้างพฤติกรรมใหม่”
การเรียนรู้ที่หยุดอยู่แค่ความเข้าใจ ไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของงานได้ จึงทำให้เทรนนิ่งกลายเป็นเพียงกิจกรรมที่สวยงามในระยะสั้น แต่ไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
จากความเข้าใจ สู่การลงมือทำ
การเปลี่ยนความรู้ให้เป็นพฤติกรรมไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากอบรม แต่มาจากกระบวนการฝึกซ้ำและการได้รับ feedback อย่างต่อเนื่อง เมื่อพนักงานได้ทดลองใช้สิ่งที่เรียนในงานจริง ได้รับคำแนะนำจากหัวหน้า และเห็นผลลัพธ์จากการลงมือทำ เขาจะเริ่มสร้างนิสัยใหม่ที่มั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พฤติกรรมใหม่ไม่ได้เกิดจากการอบรมเพียงครั้งเดียว แต่มาจากการลงมือทำซ้ำอย่างมีทิศทาง”
ผู้นำคือปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมทีม
หัวหน้ามีบทบาทมากกว่าแค่ส่งลูกทีมไปเรียน เพราะเขาคือคนที่จะช่วยต่อยอดสิ่งที่เรียนให้กลายเป็นพฤติกรรมในหน้างานจริง หัวหน้าที่เข้าใจการเทรนนิ่งจะไม่ถามว่า “เรียนแล้วได้อะไร” แต่จะถามว่า “สิ่งที่ได้เรียน เราจะใช้ยังไงให้ทีมดีขึ้น” การตั้งคำถามลักษณะนี้ทำให้ทีมคิดและสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ได้ลึกกว่า และทำให้การเทรนนิ่งไม่จบลงเมื่อออกจากห้องอบรม
การเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่เอื้อ
พนักงานไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ หากสภาพแวดล้อมรอบตัวไม่เอื้อให้ทำ เช่น องค์กรสอนเรื่องการสื่อสารเชิงบวก แต่ในที่ทำงานกลับเต็มไปด้วยการตำหนิ หรือองค์กรสอนเรื่องการคิดสร้างสรรค์ แต่หัวหน้ากลับไม่เปิดพื้นที่ให้เสนอไอเดียใหม่ สิ่งเหล่านี้ทำให้พฤติกรรมที่ดีไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง
การวัดผลเทรนนิ่ง ต้องดูที่พฤติกรรม ไม่ใช่ความพึงพอใจ
องค์กรส่วนใหญ่วัดผลเทรนนิ่งด้วยแบบสอบถามหลังคลาส ซึ่งสะท้อนเพียงความรู้สึกทันที แต่ไม่บอกเลยว่าพฤติกรรมเปลี่ยนจริงหรือไม่ วิธีการวัดผลที่มีคุณค่ากว่าคือการสังเกตพฤติกรรมการทำงานหลังการอบรม เช่น การทำงานร่วมกับทีม การแก้ปัญหา หรือการสื่อสารกับลูกค้า เมื่อองค์กรเริ่มวัดสิ่งที่สำคัญ ผลของการเทรนนิ่งจะค่อย ๆ ปรากฏในรูปของทีมที่เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงานจริง
“การเทรนนิ่งที่ดีไม่ได้วัดจากเสียงปรบมือหลังคลาส แต่วัดจากสิ่งที่คนทำหลังจากนั้น”
การเทรนนิ่งที่เปลี่ยนพฤติกรรม ต้องมี “การติดตามอย่างมีเป้าหมาย”
การติดตามผลหลังการอบรมไม่ได้หมายถึงการตรวจงาน แต่คือการสร้างวงจรการเรียนรู้ต่อเนื่อง เช่น การโค้ชรายบุคคล การแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้ลองทำ หรือการตั้งกลุ่มเล็กเพื่อทบทวนสิ่งที่เรียน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คนไม่ลืม และค่อย ๆ สร้างพฤติกรรมใหม่อย่างยั่งยืน
เมื่อความรู้กลายเป็นนิสัย องค์กรจะเติบโตอย่างแท้จริง
เมื่อพฤติกรรมใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทีมจะเริ่มเห็นผลลัพธ์จริง เช่น การสื่อสารดีขึ้น การทำงานร่วมกันราบรื่นขึ้น หรือการแก้ปัญหาเร็วขึ้น นี่คือผลลัพธ์ที่แท้จริงของการเทรนนิ่งพนักงาน — ไม่ใช่การจำเนื้อหาได้ทั้งหมด แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ และวิธีร่วมมือกันในองค์กร
สุดท้าย เทรนนิ่งพนักงานที่มีคุณค่า คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
องค์กรที่เข้าใจสิ่งนี้จะไม่มองการเทรนนิ่งเป็นภารกิจที่ต้องทำ แต่เป็นเครื่องมือในการสร้างวัฒนธรรมใหม่ เมื่อคนเริ่มเห็นว่า “การเรียนรู้ช่วยให้เราทำงานดีขึ้น” เขาจะเริ่มพัฒนาโดยไม่ต้องรอให้ใครบังคับ และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งองค์กร การเติบโตจะกลายเป็นธรรมชาติของทุกทีม
“องค์กรที่เรียนรู้ได้เร็วกว่า คือองค์กรที่อยู่รอดและเติบโตได้ยาวนานกว่าเสมอ”
หากองค์กรของคุณต้องการเทรนนิ่งพนักงานที่เน้นผลลัพธ์จริง เปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นพฤติกรรมในงาน The Blacksmith พร้อมออกแบบหลักสูตรที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืนในองค์กรของคุณ คลิกลงทะเบียน


