กับดักของการเลือกอบรมตามกระแส
ทุกปีมักมีเทรนด์การเรียนรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Agile, Data literacy, Design thinking หรือ AI skill องค์กรจำนวนมากรีบจัด Inhouse training ตามหัวข้อเหล่านี้เพราะไม่อยาก “ตกขบวน” ผลลัพธ์คือพนักงานเข้าคลาสที่ดูทันสมัย แต่เมื่อกลับไปทำงานจริง ปัญหาที่เจอทุกวันก็ยังคงอยู่
เช่น ทีมที่ยังสื่อสารกันไม่เข้าใจ ถูกส่งไปอบรม Agile ทั้งที่พื้นฐานการพูดคุยกันในทีมยังไม่แข็งแรง หรือทีมขายที่กำลังเผชิญความกดดันจากลูกค้า แต่กลับถูกอบรม Data visualization ที่ไม่ช่วยให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้น ปัญหาจึงไม่ได้รับการแก้ไข
“การเทรนที่เวิร์กไม่ใช่สิ่งที่ตลาดบอกว่าดี แต่คือสิ่งที่องค์กรต้องการจริง”
เมื่อการอบรมไม่ตรงโจทย์จริง
เสียงสะท้อนจากพนักงานหลายคนคล้ายกันคือ “สิ่งที่เรียนมาไม่ได้ใช้จริง” เพราะหัวข้ออบรมไม่ตรงกับสิ่งที่เจอในงานประจำวัน ตัวอย่างเช่น ทีมบริการลูกค้าที่ต้องรับมือกับอารมณ์โกรธของผู้ใช้ แต่ถูกอบรมเรื่องการคิดเชิงกลยุทธ์ พอจบคลาสก็กลับไปเจอปัญหาเดิมโดยไม่มีเครื่องมือใหม่ ๆ ในการจัดการ
สิ่งนี้ทำให้พนักงานบางคนรู้สึกว่า Inhouse training เป็นเพียงภาระมากกว่าการพัฒนา และสร้างภาพจำเชิงลบต่อคำว่า “อบรม” ไปโดยไม่รู้ตัว
Inhouse training ที่เริ่มจากปัญหาจริง
จุดแข็งของ Inhouse training คือการปรับเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการขององค์กร แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเริ่มจากการตั้งคำถามที่ถูกต้อง เช่น “ทีมกำลังเจอความท้าทายอะไรอยู่” ไม่ใช่ “เทรนด์อะไรที่กำลังมาแรง”
องค์กรที่ใช้วิธีนี้มักออกแบบการอบรมที่เชื่อมโยงกับงานทันที เช่น ทีมที่มีปัญหาการทำงานข้ามแผนก ควรได้รับการฝึกการสื่อสารและการตั้งคำถามมากกว่าหลักสูตรที่เน้นทฤษฎีเชิงกลยุทธ์ เพราะสิ่งที่ทีมต้องการคือทักษะที่แก้ปัญหาได้ตรงจุด
คำถามที่ควรถามก่อนออกแบบ Inhouse training
พนักงานกำลังเผชิญความท้าทายอะไรที่รบกวนการทำงาน หลังอบรม องค์กรอยากเห็นพฤติกรรมอะไรที่เปลี่ยนไป อะไรคือทักษะที่ขาดไปซึ่งจำเป็นต่อการแก้ปัญหา
เมื่อได้คำตอบเหล่านี้ การออกแบบ Inhouse training ก็จะไม่ใช่แค่การเลือกหลักสูตรที่ดูทันสมัย แต่เป็นการสร้างพื้นที่แก้ปัญหาที่สัมผัสได้จริง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการอบรมตรงโจทย์
หลายองค์กรที่หันมาออกแบบ Inhouse training ให้ตอบโจทย์จริง มักเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ เช่น ทีมที่เคยประชุมแล้วเต็มไปด้วยความเงียบ เมื่ออบรมเรื่อง feedback และการสื่อสารที่ออกแบบมาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยน คนกล้าพูดมากขึ้น และการทำงานผิดพลาดซ้ำ ๆ ลดลง
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า Inhouse training ไม่ได้วัดที่ความหรูหราของเนื้อหา แต่วัดที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในพฤติกรรมของทีม
“Inhouse training ที่แท้จริง ไม่ใช่เวทีเล่าเรื่อง แต่คือพื้นที่แก้ปัญหาร่วมกัน”
ทำไม Inhouse training จึงได้ผลมากกว่า
เหตุผลที่ Inhouse training มีประสิทธิภาพมากกว่าเพราะมันเจาะลึกกับบริบทเฉพาะขององค์กร หลักสูตรสำเร็จรูปอาจสอนความรู้ทั่วไปได้ แต่ไม่สามารถแก้ pain point ที่เป็นจริงในแต่ละทีม การ customize ทำให้พนักงานรู้สึกว่า “สิ่งที่เรียนมาใช้ได้จริง” และสร้างแรงจูงใจให้เปลี่ยนพฤติกรรมทันที
สุดท้าย Inhouse training คือการลงทุนที่ตรงจุด
การอบรมที่ดีไม่ใช่เรื่องของการเลือกหัวข้อที่กำลังฮิต แต่คือการลงทุนกับสิ่งที่ทีมต้องการจริง ๆ องค์กรที่เข้าใจสิ่งนี้จะไม่เสียเวลาและงบประมาณไปกับการจัด training ที่ไม่เกิดผล แต่จะได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยให้งานเดินหน้าได้ทันที
“การพัฒนาที่แท้จริง คือการแก้สิ่งที่เจอทุกวัน ไม่ใช่การเรียนสิ่งที่ฟังดูทันสมัยแต่ไม่ช่วยอะไร”
หากองค์กรของคุณต้องการ Inhouse training ที่ตอบโจทย์ปัญหาของทีมจริง ๆ ติดต่อ The Blacksmith เพื่อร่วมออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ คลิกลงทะเบียน