The Blacksmith_PRTR_In-house Training

Inhouse training ต้องออกแบบ “ประสบการณ์” ไม่ใช่แค่เนื้อหาการสอน

ทำไมการเรียนรู้แบบบรรยายถึงไม่พอ

หลายองค์กรจัดอบรมแบบที่พนักงานนั่งฟังทั้งวัน วิทยากรยืนอยู่ด้านหน้า อธิบายทฤษฎีและโชว์สไลด์ที่เต็มไปด้วยกราฟและคำศัพท์ดูน่าประทับใจ พอจบคลาส ทุกคนก็กลับไปที่โต๊ะทำงานพร้อมเอกสารหนึ่งปึก แต่แทบไม่มีใครเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานจริง

นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เพราะการเรียนรู้ที่มีแค่ “การฟัง” ไม่เคยเพียงพอที่จะทำให้ใครปรับตัวได้จริง ผลวิจัยด้านการเรียนรู้ยังย้ำว่า คนเราลืมสิ่งที่ได้ยินไปเกือบครึ่งภายในไม่กี่วัน หากไม่มีการนำไปใช้ต่อทันที

ประสบการณ์คือกุญแจของการเรียนรู้

การเรียนรู้ที่มีพลังจริง ๆ มาจากการลงมือทำและได้ลองเผชิญกับสถานการณ์ที่ใกล้เคียงของจริง องค์กรที่ยังใช้การบรรยายอย่างเดียวจึงมักเจอปัญหาว่า พนักงานเข้าใจแต่ไม่เปลี่ยน เพราะไม่ได้ถูกผลักให้ “ลองใช้”

เช่น เวลาฝึกการสื่อสารเชิงบวก ถ้าให้ฟังแต่ทฤษฎี คนอาจจะพยักหน้าว่าเข้าใจ แต่เมื่อกลับไปเจอสถานการณ์ลูกค้าที่โกรธจัด ก็ยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงเดิมที่ทำให้ปัญหาบานปลาย ตรงกันข้าม ถ้าได้ลอง role play ในห้องเรียน ต้องเผชิญกับบทสนทนาที่กดดัน และได้รับ feedback ทันที พนักงานจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น และมีโอกาสปรับตัวจริงในงาน

หลักการออกแบบ Inhouse training ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง

Inhouse training จึงไม่ควรถูกมองว่าเป็น “ชั่วโมงการสอน” แต่ควรถูกมองว่าเป็น “พื้นที่ทดลอง” ที่เชื่อมโยงกับงานจริง

จากห้องเรียนสู่การลงมือทำ

หลายองค์กรที่เริ่มเปลี่ยนแนวทาง เลือกให้ผู้เข้าร่วมทำกิจกรรมกลุ่ม การจำลองสถานการณ์ หรือแม้แต่การนำเคสงานจริงมาเป็นโจทย์ในห้องอบรม การที่พนักงานต้องแก้ปัญหาทันทีภายใต้ข้อจำกัด ทำให้การเรียนรู้ไม่หยุดอยู่ที่ความเข้าใจ แต่ไปไกลถึงขั้นการฝึกใช้ทักษะจริง

ผลที่เกิดขึ้นคือ เมื่อกลับไปทำงาน พนักงานมี “ประสบการณ์” ที่เคยลองในห้องเรียนคอยเป็นตัวช่วย ไม่ใช่แค่ความรู้ที่อ่านผ่านหู

“Inhouse training ไม่ควรเป็น full stop ของการเรียนรู้ แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้น”

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม

สิ่งที่เห็นได้ชัดหลังจากองค์กรเริ่มออกแบบ training ให้มีการลงมือทำ คือบรรยากาศการทำงานเปลี่ยนไป พนักงานที่เคยเงียบในห้องประชุม เริ่มกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น เพราะเคยฝึกในคลาสแล้วว่าการพูดออกมาจะไม่ถูกตัดสินทันที หรือหัวหน้าที่เคยสื่อสารแบบสั่งอย่างเดียว ก็เริ่มเปิดพื้นที่ให้ทีมเสนอไอเดีย เพราะตระหนักว่าการฟังอย่างตั้งใจสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของงานได้จริง

ทำไมประสบการณ์ถึงสำคัญกว่าเนื้อหา

สิ่งที่ติดอยู่ในใจคนไม่ใช่บทเรียนยาว ๆ แต่คือความรู้สึกที่ได้รับในห้องเรียน หากอบรมเพียงเพื่อถ่ายทอดข้อมูล ความเข้าใจจะค่อย ๆ จางหาย แต่ถ้าอบรมในรูปแบบที่ให้ลงมือทำ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะถูกฝังไว้ และแปรเป็นพฤติกรรมใหม่ที่ใช้ได้ในชีวิตการทำงานจริง

นี่คือเหตุผลที่องค์กรจำนวนมากเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ experiential learning เพราะมันไม่ใช่แค่การ “สอน” แต่คือการ “สร้างสถานการณ์” ที่ทำให้คนได้เติบโตจริง

สุดท้าย Inhouse training คือการออกแบบการเปลี่ยนแปลง

ถ้า Inhouse training ถูกออกแบบเพียงเพื่อถ่ายทอดเนื้อหา มันก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งวันทำงานที่ถูกหยุดไว้ แต่ถ้าออกแบบให้เป็นประสบการณ์ มันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ทั้งในระดับพนักงานและระดับทีม เพราะสิ่งที่คนพกกลับไปไม่ใช่สไลด์ แต่คือความมั่นใจและความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่

“สิ่งที่เปลี่ยนองค์กรไม่ใช่จำนวนเนื้อหาที่สอน แต่คือจำนวนพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการอบรม”

หากองค์กรของคุณต้องการ Inhouse training ที่ออกแบบให้การเรียนรู้เป็นประสบการณ์จริง ติดต่อ The Blacksmith เพื่อสร้างโปรแกรมที่เปลี่ยนแปลงได้จริง คลิกลงทะเบียน

Scroll to Top