การ corporate training เคยเป็นเรื่องของการนั่งฟังบรรยายในห้องประชุม อัดเนื้อหาหนัก ๆ ลงในวันเดียว แล้วหวังว่าพนักงานจะนำไปใช้ได้จริง แต่ปี 2568 กำลังเปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เทรนนิ่งที่เคยมีประสิทธิภาพอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป หากองค์กรยังคงใช้แนวทางเดิมโดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป
กองค์กรที่เคยเทรนนิ่งพนักงานด้วยรูปแบบเดิม ๆ มาเป็นเวลาหลายปี เมื่อโลกเข้าสู่ยุคไฮบริดและเทคโนโลยีก้าวหน้า พนักงานจะเริ่มรู้สึกว่าการอบรมแบบเดิมนั้นไม่สอดคล้องกับวิธีการทำงานของพวกเขาอีกต่อไป นั่นทำให้บริษัทต้องปรับแนวทางใหม่ทั้งหมด เปลี่ยนจากการอบรมที่ต้องรวมตัวกันในห้องประชุม มาเป็นการฝึกอบรมที่พนักงานสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ออกแบบให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
เทรนนิ่งที่ “สั้น กระชับ และเข้าถึงได้” กำลังมาแทนที่รูปแบบเดิม
การเรียนรู้ที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน การ corporate training ในปี 2568 กำลังมุ่งไปสู่ Microlearning หรือการอบรมแบบสั้น ๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้ภายใน 10-15 นาที และสามารถนำไปใช้ได้จริงทันที แทนที่จะให้พนักงานเข้าอบรมวันละ 6-8 ชั่วโมงต่อครั้ง เทรนนิ่งแบบใหม่นี้ช่วยให้พนักงานสามารถเรียนรู้ได้ในจังหวะที่เหมาะกับตัวเอง และยังช่วยให้เกิดการจดจำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
องค์กรที่ต้องการให้พนักงานเรียนรู้แบบต่อเนื่องเริ่มใช้เทคนิค Adaptive Learning หรือการเรียนรู้แบบปรับแต่งตามบุคคล ซึ่งใช้ AI วิเคราะห์ว่าพนักงานต้องการทักษะอะไร และแนะนำคอร์สที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ เทรนนิ่งจึงไม่ใช่แค่ “สอนทุกคนในสิ่งเดียวกัน” อีกต่อไป แต่เป็น “สอนในสิ่งที่แต่ละคนต้องการจริง ๆ”

การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง
การอบรมที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการที่พนักงานสามารถนำไปใช้ได้ทันที On-the-Job Training (OJT) หรือการเรียนรู้ผ่านการทำงานจริง กำลังเป็นแนวทางที่หลายองค์กรนำมาใช้มากขึ้น บริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำบางแห่งเริ่มลดการใช้ห้องเรียนแบบดั้งเดิม และแทนที่ด้วยการให้พนักงานฝึกทำงานจริงภายใต้การโค้ชของผู้เชี่ยวชาญ
มีเคสตัวอย่างจากบริษัทที่เปลี่ยนรูปแบบการอบรมจาก “การเรียนผ่านสไลด์” มาเป็น “การเรียนรู้ผ่านสถานการณ์จำลอง” หรือ Simulation-based Training ซึ่งให้พนักงานเผชิญกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจริงในงานของพวกเขา ผลลัพธ์ที่ได้คือพนักงานมีความพร้อมมากขึ้นเมื่อเจอสถานการณ์จริง และมีความมั่นใจมากกว่าการเรียนจากทฤษฎีเพียงอย่างเดียว
หัวข้อเทรนนิ่งที่องค์กรควรให้ความสำคัญ
นอกจากรูปแบบที่เปลี่ยนไป หัวข้อการอบรมในปี 2568 ก็ต้องสอดคล้องกับโลกการทำงานที่เปลี่ยนไป องค์กรที่มองไปข้างหน้าจะไม่โฟกัสแค่ Hard Skills เช่น ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคหรือการใช้ซอฟต์แวร์ แต่จะให้ความสำคัญกับ Soft Skills ที่ช่วยให้พนักงานรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
- Digital Mindset & AI Integration: เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่งานบางส่วน แต่คนที่ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากที่จะเป็นผู้นำในอนาคต
- Resilience & Adaptability: ความสามารถในการปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจะเป็นทักษะที่จำเป็นที่สุดสำหรับพนักงานทุกระดับ
- Data-Driven Decision Making: ไม่ใช่แค่ฝ่าย IT หรือ Marketing ที่ต้องใช้ข้อมูล แต่พนักงานทุกคนต้องมีความเข้าใจการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
- Human-Centered Leadership: ผู้นำยุคใหม่ไม่ใช่แค่บริหารงานเก่ง แต่ต้องบริหารคนเป็น ต้องเข้าใจทีม และสร้างแรงบันดาลใจให้คนทำงานอย่างมีความสุข
- Collaboration in Hybrid Work: การทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นมาตรฐานใหม่ การเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพแม้อยู่กันคนละที่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
องค์กรที่เข้าใจว่า corporate training ไม่ใช่แค่การสอนทักษะใหม่ ๆ แต่เป็นการพัฒนาคนให้พร้อมรับมือกับอนาคต จะสามารถสร้างพนักงานที่มีศักยภาพสูง และผลักดันองค์กรไปข้างหน้าได้เร็วกว่าองค์กรที่ยังคงใช้วิธีการเทรนนิ่งแบบเก่า ๆ ที่พนักงานเรียนแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับงานของตัวเองจริง ๆ
คุณเบื่อหรือไม่? กับสิ่งเหล่านี้
การจัดเทรนนิ่งที่ ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน พนักงานขาดแรงจูงใจในการเข้าร่วม ไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง! ให้เราช่วยคุณสร้างโปรแกรมการฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพและน่าสนใจ ปรึกษา L&D Consultant ผู้เชี่ยวชาญของเรา รับการออกแบบ Training Roadmap ที่ตอบโจทย์องค์กรของคุณ เริ่มต้นการพัฒนาบุคลากรที่สร้างผลลัพธ์จริงตั้งแต่วันนี้
ปรึกษา L&D Consultant จาก The Blacksmith ฟรี! พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ คลิกลงทะเบียน