องค์กรส่วนใหญ่มองว่า in-house training เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาพนักงาน หลักสูตรถูกออกแบบมาอย่างดี ผู้สอนมีประสบการณ์ และพนักงานทุกคนถูกเชิญเข้าร่วม แต่หลังจากเทรนนิ่งจบลง สิ่งที่ตามมามักจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง พนักงานบางคนแทบไม่ได้ใช้ความรู้ที่ได้รับ บางคนลืมไปหมดภายในไม่กี่สัปดาห์ และบางคนไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมพวกเขาต้องเข้าอบรม
มีตัวอย่างจากองค์กรขนาดกลางแห่งหนึ่งที่ลงทุนกับ in-house training อย่างต่อเนื่อง ปีหนึ่งใช้งบประมาณจำนวนมากในการอบรม แต่ผลลัพธ์กลับไม่ชัดเจน ผู้บริหารเริ่มตั้งคำถามว่า “เราผิดพลาดตรงไหน?” หลังจากตรวจสอบปัญหาอย่างละเอียด กลับพบว่ามีหลายจุดที่ถูกมองข้าม และสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กร
เทรนนิ่งจัดเต็ม แต่ขาดการเชื่อมโยงกับการทำงานจริง
หนึ่งในปัญหาที่พบคือ หลักสูตรเทรนนิ่งถูกออกแบบมาอย่างดี มีเนื้อหาครอบคลุมทุกมิติ แต่กลับไม่สอดคล้องกับงานที่พนักงานต้องทำจริงในแต่ละวัน พนักงานหลายคนรู้สึกว่า “เข้าอบรมไปก็ไม่ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น” และเมื่อพวกเขากลับไปทำงานก็ไม่ได้มีโอกาสนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้จริง
องค์กรที่มองการณ์ไกลเริ่มปรับเปลี่ยนแนวทาง โดยใช้ On-the-Job Training (OJT) และ Case-Based Learning เพื่อให้พนักงานสามารถนำความรู้ที่ได้มาแก้ปัญหาจริงในงานของตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น แต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกว่าการอบรมมีคุณค่าและส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานจริง ๆ

พนักงานถูกบังคับให้เข้าอบรม แต่ไม่มีแรงจูงใจ
มีหลายองค์กรที่ออกแบบโปรแกรม in-house training ด้วยแนวคิดที่ว่า “พนักงานทุกคนต้องผ่านการอบรม” แต่ลืมถามไปว่า พนักงานอยากเรียนรู้สิ่งนี้จริงหรือไม่? เมื่อพนักงานไม่ได้เห็นว่าการอบรมจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาได้อย่างไร หรือไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเรียนรู้มีประโยชน์ต่ออาชีพของพวกเขา แรงจูงใจในการเข้าร่วมก็จะลดลง
องค์กรที่เข้าใจปัญหานี้เริ่มนำแนวคิด Personalized Learning มาใช้ โดยให้พนักงานมีสิทธิ์เลือกหลักสูตรที่สอดคล้องกับเส้นทางอาชีพของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการอบรมเป็นโอกาส ไม่ใช่ภาระหน้าที่ ผลลัพธ์คืออัตราการมีส่วนร่วมสูงขึ้น และการนำความรู้ไปใช้จริงก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
เทรนนิ่งจบ แต่ไม่มีการติดตามผล
อีกหนึ่งข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือ การเทรนนิ่งเป็นเพียง “เหตุการณ์ครั้งเดียว” ไม่มีการติดตามผลว่าเนื้อหาที่เรียนไปนั้นถูกนำไปใช้หรือส่งผลกระทบอะไรต่อองค์กร หลายองค์กรจัดอบรมแล้วจบไป โดยไม่ได้วางแผนให้มีการโค้ชชิ่ง หรือการรีวิวผลลัพธ์หลังอบรม
บริษัทที่มีระบบ Follow-Up Training มักเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า การให้พนักงานกลับมาทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ แชร์ประสบการณ์การนำไปใช้จริง และรับคำแนะนำเพิ่มเติมจากโค้ชหรือหัวหน้างาน ช่วยให้เทรนนิ่งไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์หนึ่งวัน” แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องและสร้างผลลัพธ์ในระยะยาว
ผู้บริหารไม่สนับสนุน ทำให้เทรนนิ่งกลายเป็นเรื่องของ “HR เท่านั้น”
องค์กรที่มี in-house training ที่แข็งแกร่งจะเห็นได้ว่าการสนับสนุนจากผู้บริหารมีบทบาทสำคัญอย่างมาก แต่ในหลายบริษัท เทรนนิ่งถูกผลักให้เป็นหน้าที่ของ HR เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ผู้บริหารระดับสูงไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากผู้นำ พนักงานจะมองว่าการอบรมเป็นเพียง “เช็กลิสต์” ที่ต้องทำตามนโยบาย มากกว่าการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อองค์กร องค์กรที่เข้าใจเรื่องนี้จึงเริ่มให้ผู้บริหารเข้ามามีบทบาทในโปรแกรมอบรม เช่น เป็น Mentor หรือ Speaker ในบางเซสชัน เพื่อทำให้พนักงานเห็นว่าเทรนนิ่งนี้มีความสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กรจริง ๆ
In-house training ที่มีคุณภาพไม่ได้วัดจากจำนวนหลักสูตรที่จัดขึ้น หรือจำนวนชั่วโมงที่พนักงานเข้าอบรม แต่วัดจากการที่พนักงานสามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริง และสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมให้องค์กร องค์กรที่สามารถออกแบบเทรนนิ่งให้ตอบโจทย์พนักงาน และเชื่อมโยงกับการทำงานจริงได้ จะเป็นองค์กรที่สามารถสร้างพนักงานที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
คุณเบื่อหรือไม่? กับสิ่งเหล่านี้
การจัดเทรนนิ่งที่ ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน พนักงานขาดแรงจูงใจในการเข้าร่วม ไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง! ให้เราช่วยคุณสร้างโปรแกรมการฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพและน่าสนใจ ปรึกษา L&D Consultant ผู้เชี่ยวชาญของเรา รับการออกแบบ Training Roadmap ที่ตอบโจทย์องค์กรของคุณ เริ่มต้นการพัฒนาบุคลากรที่สร้างผลลัพธ์จริงตั้งแต่วันนี้
ปรึกษา L&D Consultant จาก The Blacksmith ฟรี! พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ คลิกลงทะเบียน